สถิติการเข้าดูหน้า Blog

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

มนุษยฺ์เงินเดือนกับภาษีสังคม

          ภาษีสังคม หมายถึง รายจ่ายเพื่อการเข้าสังคมต่างๆหรือการสร้างเครือข่าย (Connection) ของตัวเอง เช่น งานแต่ง งานบวช งานศพ งานวันเกิด กินข้าวหลังเลิกงาน ไปเที่ยวกับเพื่อน ซองผ้าป่า ทำบุญ โอ๊ย เยอะครับ  เพราะเราอยู่ในสังคมที่มีเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน ลูกน้อง เราไม่สามารถหลีกหนี ภาษีพวกนี้ได้เลย ยังไงซะมันก็ต้องมีครับ ตัวผมเองเริ่มมีภาษีสังคมตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ก็เช่นพวก กินเหล้า ไปเที่ยว ไม่ไปก็ได้ครับ แต่เพื่อนจะถามเราว่า "ใจหรือเปล่า" เมื่อใจก็ต้องไปครับ ทั้งๆที่ไม่อยากจะไปเลยจริงๆ



           เมื่อเริ่มทำงานภาษีสังคมก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ ครับ ยิ่งกว่าสมัยเรียน ผมว่าเยอะกว่าภาษีเงินได้ส่วนบุคคลที่เสียทุกปีอีกครับ น่ากลัวจริงๆครับ สำหรับคำว่าภาษีสังคม เงินในกระเป๋าหายไปเยอะครับ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว ไม่อยากจะจดจำเลยว่าแต่ละเดือนเสียไปเท่าไร กับภาษีเหล่านี้ โชคยังเป็นของผมอยู่บ้างตรงที่ที่ทำงานของผมปัจจุบัน ไม่ค่อยชวนกันไปกินเหล้าเท่าไร เพราะต่างคนต่างมีครอบครัว แต่ที่ทำงานก่อนหน้าก็มีบ้างครับ น่าแปลกที่หลายคนคิดว่า การกินเหล้าหลังเลิกงาน คือการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน บางคนก็บอกผมว่าเป็นการซื้อใจ คือ จะกินก็กินเลยครับ เหล้าเบียร์ ไม่ต้องหาเหตุผลดีๆ มาทำให้มันดูดีหรอกครับ อยากจะแดร๊กก็แดร็กครับ จบปังเลย เพราะหลายปีที่ผ่านมา ผมเคยใช้เงินกินเหล้าเพื่อซื้อใจเพื่อน แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นจะได้เพื่อนแท้ นอกจากเพื่อนกิน

เอาละครับ เรามาดูกันว่าเราเจอภาษีรูปแบบไหนกันบ้าง แล้วจะรับมืออย่างไงดี 

          1. ซองงานอีเว้นท์  Event  ก็พวกงานบวช งานเเต่ง งานศพ ความจริง ลูกของเพื่อนที่ทำงานบวชก็มาชวนเรา ก็แบบอาจเพราะเราเป็นเซเลบครับ มาจากคำว่า celeB ซึ่งตัดมาจากคำว่า celebrity บางงานไม่เกี่ยวกับเราเลยเขาก็แจกซองครับ หน้าผมบางครับก็ใส่ซองครับ แต่ไม่สนิทก็จะไม่ไป ยกเว้นงานศพครับ อันนี้ แยกประเด็นออกเป็น คนเชิญ เป็นใคร ตำแหน่งไหน หากไม่สนิทใส่แต่พอเหมาะครับ หากเป็นหัวหน้างานหรือเพื่อนร่วมงานที่รักจริงๆ ก็ 200-500 ครับ แต่หากเราไม่ไป เต็มทีครับ ใส่ได้น้อยหน่อย  ตั้งเป้าหมายไว้ครับ อย่างเกินเดือนละ 1-2 งาน

         2. ซองผ้าป่า อันนี้โหดสุดครับ  ขั้นแรกเลยนะครับ ห้ามคิดเด็ดขาดว่า ซองผ้าป่ามาอีกแหละ เพราะถึงเราจะใส่เงินลงไปแล้ว แต่ใจเราไม่บริสุทธิ์ซะแล้วครับ เพราะเรามีจิตอคติ ฉะนั้น ตั้งเป้าหมายไว้เลยครับ ว่าจะใส่แบบไหน ใครชวนผมเป็นประธานปฎิเสธเลยครับว่าไม่สะดวกของแค่กรรมการนะพี่ ตอบให้ไวครับอย่าตะกุกตะกักเพราะเพื่อมิตรภาพ จำไว้ด้วยว่าคนนี้ปีนี้กี่ครั้ง ผมเองให้โครต้า คนละ 1 ครั้งต่อปีครับ ใครเกินผมขอตอบเลยว่า ปีนี้เป็นกรรมการให้พี่แล้วนะครั้งหนึ่ง ฉะนั้นเป็นกรรมการใส่เก๋ๆ 100 เดียวพอ ผมเคยใส่น้อยกว่าที่เขาอยากให้ใส่ เคยโดนทำหน้าไม่พอใจครับ แต่เงินเราครับ หาอยากนะ 100 เดียวครับ ทำด้วยใจ กรณีถัดมาซองผ้าป่าฉุกเฉิน แบบว่าอยู่ๆ ก็มาว่าที่โต๊ะแล้วบอกซองเล็กใส่เท่าไรก็ได้ ผมจัดไปเลยครับ 60 บาท ตัวเลขกำลังสวย เพราะอย่างที่บอกครับ ทำด้วยใจ สรุปนะครับ เดือนนึ่งไม่ว่าจะซองกรรมการหรือซองฉุกเฉิน เดือนหนึ่งผมให้ 3 ซองพอครับ ใครมามากกว่านี้ ผมบอกเลย "เดือนนี้ผมหลายซองแล้วครับพี่ เดือนนี้ผมไม่ค่อยมีเงิน" หากใครยังอยากให้ใส่ก็โหดไปแล้วละพูดซะขนาดนี้ปฏิเสธให้เป็นครับ ทำบุญเท่าที่เราพอมีกำลังจะดีกว่า

          3. ทานอาหารหลังเลิกงาน ช็อปปิ้ง shopping อันนี้ผมออกตัวกับที่ทำงานเลยนะครับว่าไปได้แค่เดือนละครั้งนะครับ เพราะไม่ค่อยมีเงิน เมื่อออกตัวแรงไปแล้ว เลยคุยกับเพื่อนที่ทำงานไว้แบบนั้นจึงคุยกันว่า เรานัดเลยไหมว่าไปกินอะไรกันเดือนละครั้งในวันที่เงินเดือนออก แต่อันนี้ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อครับ ว่าปัญหานี้จบเลย เงินเดือนผมออกวันที่ 13 และ 28 พอถึงวันเงินเดือนออก ผมออกตัวชวนเลยครับว่าไปหาอะไรกินกันไหม มื้อนึ่งก็มีตั้งแต่ 100-400 บาท ผมกันไว้ประมาณนี้ มีตั้งแต่อาหารญี่ปุ่น จนธรรมดาถีงแค่ส้มตำครับ กันเงินส่วนนี้ไว้เลยว่าในแต่ะเดือนได้เท่านี้ครับ หากเพื่อนร่วมงานชวนอีกละจะทำอย่างไง อันนี้ผมขอแนะนำให้พูดความจริงครับ หากเพื่อนร่วมงานมาชวน  เขาชวนเพราะเขาอยากให้เราไป เราก็ควรจริงใจครับ ไม่ไปก็ปฏิเสธไปดีๆ อย่าไปโกหก

ยกตัวอย่างนะครับ แบบไม่โกหกกัน

  • เพื่อนๆที่ทำงาน : น้อง วันนี้ไปกินหมูกระทะกันไหมมีร้านตรง...... เปิดใหม่ พี่ไปกินมาแล้วอร่อยมากๆ 
  • ผม : วันนี้ไม่ค่อยสะดวกครับ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับอะพี่ง่วงๆ ผมไม่ค่อยไหว 
  • เพื่อนๆที่ทำงาน :  ไม่ดึกหรอกเดี๋ยวก็กลับแล้วซัก 2 ทุ่มเอง
  • ผม :  วันนี้ไม่ไหวจริงๆอะครับพี่ ขอเป็นวันหลังนะ อีก 5 วันเงินเดือนออกแล้ว เดี๋ยวเงินเดือนออกไปกัน
  • เพื่อนๆที่ทำงาน :  ไม่เป็นไรวันเงินเดือนออกก็ได้
  • ผม :  ขอบคุณที่ชวนนะพี่ เดี๋ยววันเงินเดือนออกชวน (คนอื่น) ไปด้วย ไปกินหมูกระทะกัน

จบ ก็บทสนทนาธรรมดาครับ ไม่สะดวกก็บอกไปตรงๆ  มาดูแบบโกหกกันบ้าง

  • เพื่อนๆที่ทำงาน : น้อง วันนี้ไปกินหมูกระทะกันไหมมีร้านตรง...... เปิดใหม่ พี่ไปกินมาแล้วอร่อยมากๆ 
  • ผม : วันนี้แบบผมอยากนอน เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลยพี่ แบบเมื่อเช้าก็ตื่นสายมาไม่ทันรถที่ทำงานอะ ช่วงนี้นอนไม่ค่อยจะหลับเลยพี่ อยากรีบกลับไปนอน แล้วก็เงินเดือนยังไม่ออกเลยพี่ ไม่ค่อยมีเงินเลย นี้ก็เงินเดือนยังไม่ออกเลย หากจะไปคงมีแค่เรา 2 คนแน่ๆ เพราะเงินเดือนยังไม่ออกอะอีกตั้ง 5 วัน
  • เพื่อนๆที่ทำงาน :  (- _-) คิดในใจมึงโกหกกูรู้นะเว้ยย

ผมว่านะครับ บางทีเราไม่ต้องหาข้ออ้างหรอกครับ ความจริงใจนี้แหละง่ายที่สุด จริงไหมครับ

         4. ไปเที่ยวกันไหม ? อันนี้ผมเลยเขียนบทความเรื่องนี้ไปแล้วงั้นก็ขอเล่าย่อๆ ครับ ผมเอาเบี้ยขยันกับ OT ส่วนที่เกินๆมาจากเงินเดือนเก็บเเยกไว้ครับ ความจริงมันก็ไม่เยอะครับ เบี้ยขยันก็เดือนละ 600 บาทได้ แต่หลายๆ เดือนเข้า มันก็เยอะอยู่ คราวนี้หากเพื่อนเราไม่ได้เที่ยวไฮโซมาก แค่ชวนไปเที่ยวทะเลหรือไปเที่ยวต่างจังหวัด  เงินส่วนนี้ก็เกือบพอครับ เราสามารถไปเที่ยวได้โดยต้องมีอาการชักหน้าไม่ถึงหลังครับ เพื่อนที่ทำ่งานหรือเพื่อนเก่าๆ ชวนไปเที่ยวไปก็ไปเถอะครับ

         5. งานอดิเรกหลังเวลางาน อันนี้มีเป็นบางที่ครับ ผมเคยเห็นบางทีก็เป็นการขี่จักรยาน การขับรถแรลลี่ อันนี้แล้วแต่สังคมที่เราอยู่บางกิจกรรมค่าใช้จ่ายแพงมากครับ ที่ทำงานปัจจุบันผมก็มีครับ นั้นก็คือการตีแบดมินตัน ก็มีกะเขาบ้างครับใสๆ เพื่อนที่ทำงานก็ชวนผมหลายครั้งครับ แต่แรกๆ ผมก็ไม่ค่อยจะกล้าไปเพราะไม่ได้ตีเลยฝีมือแบบว่าไปก็อายเขาครับ ครั้งแรกๆ ที่ไปก็ขอยืมไม้แบตเพื่อนก่อนครับ ครั้งที่ 2 ก็ซื้อไม้แบดเอง อันนี้ผมทราบดีว่ากิจกรรมนี้อยู่ที่ไม้แบดครับ มันมีหลายร
าคา อย่างที่เห็นๆ ก็ 2-3 พันบาทที่เขาเอามาตีกัน โดยมากแล้วบางทีเมื่อเราไปหลายๆ ครั้งเราจะค้นพบตัวเองครับว่าเราชอบหรือไม่ชอบกิจกรรมนี้ จากการไปหลายๆ ครั้ง หากเราออกตัวซื้อไม้แบดราคาแพงเลย แล้วเราไม่ชอบ ไม้แบดเราจะเอาไปไว้ไหนครับ หลังตู้เสื้อผ้าหรือเปล่า....แน่นอนหลังตู้ ผมจึงเริ่มจากซื้อไม้ถูกๆ ก่อนครับ ไม้ละ 200 บาทได้ ยอมรับว่ากากมากครับ แต่ก็ไปตีแล้วก็พบว่าชอบแล้วก็สนุกดี และอีกในหลายเดือนต่อมาโบนัส 0.75 เดือนผมออก เลยถอยไม้ที่เหมาะกับตัวเองมาครับราคาแพงหน่อย กลายเป็นว่ามีไม้แบด 2 อัน แต่นี้ไม่ใช่การเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายครับ กับการมีไม้แบด 2 อัน เพราะย่อมนี้กว่าการมีไม้เเบดดีๆ อันเดียว แต่กิจกรรมนี้กลายเป็นกิจกรรมที่ไม่ชอบ สุดท้ายไม้แบดราคาเเพงก็ถูกเก็บอยู่หลังตู้เสื้อผ้า ส่วนค่าสนามก็ครั้งละ 100 บาท ไปตีแบดกันสัปดาห์ละครั้ง กิจกรรมนี้ถือว่าโอเคครับ ไม่แพงถือว่ารับได้

           6. กินเหล้า กินเบียร์ อันนี้แบบกิจกรรมทันยุคที่สุดครับ มีเกือบแทบทุกสังคม ผมใช้วีธีออกตัวเลยครับว่า กินไม่ค่อยเป็นเท่าไร หน้าซื่อๆ ฮ่าๆ เพราะเอาจริงๆ กินได้ครับ แต่ไม่ค่อยชอบเพราะเสียดายเงิน หากเพื่อนชวน หรือเพื่อนที่ทำงานชวน หากเขาชวนจริงๆ ผมก็ปฏิเสธบ้างไปบ้างครับ แต่ไม่ไปทุกครั้งแน่นอน เพราะภาษีสังคมอันนี้ ก่อประโยชน์น้อยสุด แต่เสียเงินมากที่สุด หากไปจริงๆนานๆ ทีครับ หรือเช่นไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ ที่ทำงานก็มีกินมีดื่มบ้างครับ หรือหากเพื่อนร่วมงานชวน ก็มีบ้าง แต่เชื่อผมเถอะครับ ไม่มีเพื่อนร่วมงานคนไหนเลิกคบเรา เพราะเราไม่ไปกินเหล้าหรอกครับ เขาดูที่นิสัยการทำงานของเรามากกว่า

 
         7. ของฝาก ไปไหนมาไหน มีแต่คนแซวเรื่องของฝาก ดูตามสังคมครับหากมีคนซื้อมาฝากเรา หรือซื้อมาวางไว้ที่โต๊ะกลางแผนกเพื่อกินด้วยกัน แล้วเราก็กินของเพื่อนๆ พี่ๆ ในที่ทำงาน เมื่อเรามีโอกาสไปไหนมาไหน เราก็ซื้อมาฝากบ้างครับ ขนมซัก 1-2 ห่อ ไม่ถือว่าเสียหายครับ เราไม่จำเป็นต้องซื้อทุกครั้งที่ไปไหนนะครับ ซื้อด้วยใจเป็นบางครั้งพอครับ ส่วนใครที่กินมากินด้วยแต่ตัวเองไปมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแต่ไม่เคยซื้ออะไรมาฝากใคร แต่คุยตลอดว่าไปเที่ยวโน้นเที่ยวนี้ อันนี้ต้องทำใจครับมีทุกที่คนแบบนี้ เราทำได้เพียงเบะปากเป็นรูปสระอิ แล้วเก็บไว้ในใจครับ ถือซะว่าเพื่อนร่วมงานดีๆ เขาเคยซื้อมาฝากเรา เราก็แบ่งปันเมื่อมีโอกาสซื้อมาฝากเขา ขอให้คิดให้เราสบายใจดีกว่าครับ

         สุดท้ายนี้บทความนี้ยาวมากๆ แต่อยากนำเสนอในอีกแง่หนึ่งครับ ว่าภาษีสังคม จ่ายได้ มีได้ แต่สิ่งสำคัญ เราต้องมีวินัยครับ ว่ามันต้องจ่ายเท่าไรถึงจะเหมาะกับเรา บางคนจ่ายได้มากเพราะเงินเดือนเยอะ บางคนจ่ายได้น้อยเพราะเงินเดือนน้อย สุดท้ายนี้ เงินในกระเป๋าเราครับ เราเลือกได้ว่าเราต้องการสังคมแบบไหน มีสังคมบ้างตามมิตรภาพ เป็นคนมีสังคมเยอะ หรือเลือกที่จะไม่มีเลย ผมว่าทางสายกลางน่าจะดีที่สุดครับ สำหรับคำว่าภาษีสังคม

แมนๆ เตะบอล 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น