สถิติการเข้าดูหน้า Blog

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ผมอยากลาออก

       ในที่ทำงานที่แรกของผม ผู้จัดการท่านหนึ่งเคยถามผมเพื่อที่จะปรับเลื่อนตำแหน่งหลังจากที่อยู่ในตำแหน่งรักษาการหัวหน้าส่วนฝ่ายผลิตในโรงงานแห่งหนึ่งมานานแสนนานว่า "คุณคิดว่า คุณทำงานเพื่ออะไร" ตอนนั้นผมรวบรวมสติคิดอย่างถี่ถ้วนและตอบออกไปว่า "ผมทำงานเพื่อเงินครับ เพราะตราบใดที่เรายังต้องทานข้าว แน่นอนครับคนเราต้องการเงิน หากถามผมในคำถามที่ว่าทำงานเพื่ออะไร" เชื่อไหมครับผมโดนให้รักษาการหัวหน้าส่วนต่อไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะลักษณะรูปแบบความคิดผมไม่ผ่าน ตอนนั้นผมรู้สึกสับสนว่าผมตอบผิดตรงไหน ผมจึงได้แต่ปรึกษาผู้จัดการท่านอื่นที่สนิทกัน ผู้จัดการท่านนั้นหัวเราะแล้วบอกว่าผมตอบไม่ผิดหรอก คนที่ถามผมเขาก็ต้องการเงิน มีใครมาทำงานฟรีเพราะใจรักบ้างละ ที่ผมตอบนั้นคือความจริง แต่นั้นไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากได้ยิน
        นั้นคือที่ทำงานที่แรกของผม ที่แรกที่เต็มไปด้วยความฝันของผมเลยทีเดียว หลังจากที่ผมเรียนจบเมื่อประมาณปลายปี พ.ศ.2552 กว่าจะหางานได้ก็ต้นปี พ.ศ. 2553  ในการทำงานในที่แรก ผมแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการวางตัวและการเข้าสังคม ผมเริ่มต้นเงินเดือนวิศวกรด้วยเงินหมื่นกว่าบาท แต่ผมก็ตั้งใจทำงานเต็มทีและไม่เคยคิดที่จะลาออกจริงๆเลยซักครั้ง เพราะผมได้หอบเอาความฝันมาเต็มเปี่ยมหลังจากที่ได้เรียนจบมา ผมตื่นเต้นทุกวันกับการที่ได้ไปทำงานและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ความฝันของผมเองเหมือนกับของคนทั่วๆไป คือตำแหน่งงานที่ดีขึ้น มีรถซักคัน มีบ้านซักหลัง ฝันแบบมนุษย์เงินเดือนทั่วๆเขาฝันกัน

         หลังจากที่ผมทำงานไปได้เกือบ 4 ปี ผมพบความจริงเหมือนที่มนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไปได้พบเจอกับปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออก กับปัญหาเรื่องที่ทำงาน เบื่อหัวหน้าแย่ๆ เจอเพื่อนร่วมงานขี้นินทา เงินเดือนน้อยจนอายเพื่อน โบนัสครึ่งเดือน เกมส์การเมืองภายในองค์กรที่แสนโหดร้าย แต่ผมก็สามารถทนอยู่ได้ครับ ก็เพราะเหตุผลว่าผมยังมีเพื่อนร่วมงานที่ดี และที่หลีกหนีไม่ได้คือผมต้องการเงินมาจับจ่ายใช้สอย เพราะไหนจะค่าห้องพัก ต้องส่งเงินให้ทางบ้าน ค่าบริการรายเดือนโทรศัพท์มือถือ ค่าของกินของใช้ในทุกวันๆ เพราะตราบใดที่ผมต้องกินข้าวทุกวัน ผมก็หยุดทำงานไม่ได้เช่นกันครับ หลังๆผมจึงคิดว่าผมทรมานเพราะการที่ผมไม่มีเงิน 

        หลังจากที่ผมเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ผมจึงตัดสินใจลาออก เพราะผมคิดว่าผมมีเงินมากพอ การลาออกเพื่อไปตายเอาดาบหน้าดูจะดีกว่าสำหรับอนาคตผม และเมื่อผมลาออกผมกลับพบความจริงที่ว่า ผมกำลังหนีปัญหาหนึ่งเพื่อไปเจออีกปัญหาหนึ่ง 

          บริษัทที่ 1  ที่ผมทำงานผมว่าคิดเงินเดือนผมน้อยหัวหน้าผมไม่ดี แต่เพื่อนร่วมงานดี ผมจึงลาออก เพราะอยากได้เงินเดือนที่คิดว่าสมน้ำสมเนื้อกว่านี้

         บริษัทที่ 2  เงินเดือนผมดีมาก (อย่างที่อยากได้) หัวหน้าผมคิดว่าไม่ดี เพื่อนร่วมงานไม่ดี ผมพบว่าเงินเดือนที่อยากได้ ผมกลับไม่มีความสุขเลย ผมเลยลาออก


         บริษัทที่ 3 เงินเดือนไม่ค่อยดี แต่หัวหน้ากับเพื่อนร่วมงานถือว่าดี ผมคิดว่าอายุผมเยอะแล้วควรได้งานที่เงินดีกว่านี้ ผมเลยจึงลาออกอีก


         บริษัทที่ 4 ปัจจุบัน ทุกอย่างกลางๆ 



          แต่ถ้าผมลาออกอีกเพราะ เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือเงินเดือน ผมต้องลาออกเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆแบบก่อนหน้านี้ แน่นอนครับอ่านมาถึงตรงนี้ใครก็ต้องคิดเหมือนผม ว่าผมกำลังหนีปัญหา วันนี้ผมเลือกที่จะสู้ครับ เงินเดือนน้อยผมก็เก็บเงิน เล่นหุ้น และกองทุนไป หัวหน้าเพื่อนร่วมงาน อย่าไปคิดมากครับกลับมาบ้านเขาไม่ได้ตามเรามา ผมทิ้งความรู้สึกที่ไม่ดีไว้ที่ทำงานกลับมานอนดูซี่รี่เกาหลีก็จบแล้ว ผมพบว่าเงินเดือนเราไม่สามารถมากที่สุดและก็มีความสุขมากที่สุดได้ เปรียบเหมือนการซื้อหุ้น ที่ไม่มีใครสามารถซื้อหุ้นในราคาที่เคยต่ำที่สุดเเล้วเอาไปขายในราคาแพงที่สุดได้ เคยมีใครคนหนึ่งบอกผมว่า 

        "หางานเปรียบเหมือนหาแฟนแหละครับ บางงานรักที่จะทำแต่อยู่ได้ลำบากเหลือเกิน เปรียบเหมือนมีแฟนที่รักแต่แฟนไม่รวย   บางงานไม่ได้รักมากแต่อยู่แล้วสบายกาย เปรียบเหมือนมีแฟนที่อาจไม่ได้รักมากแต่แฟนรวยพร้อมจะซัพพอร์ท บางคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้งานที่หวัง ก็เหมือนคนที่พยายามจีบคนที่ชอบ บางคนเบื่องาน งานไม่ดีแต่ไม่กล้าเปลี่ยนงาน ก็เหมือนคนที่ได้แฟนห่วยๆแต่กลัวที่จะเริ่มใหม่กับคนใหม่ๆ บนโลกใบนี้มีคนที่ใช่สำหรับทุกคนเสมอ และนั่นหมายถึงมีงานที่ใช่รอแต่ละคนอยู่ เพียงแต่ไม่ทุกคนที่จะขวนขวายจนเจอ เหมือนบางคนคิดว่ารักแท้มันไม่มีจริงจึงไม่ขวนขวายอีกแล้วก็ไม่เจอจนตายไป(หรืออาจจะเจอแล้วแต่ไม่รู้ตัว มองผ่านๆเพราะคิดว่ามันไม่มีจริง) แต่ที่แน่ๆคนที่มีความเชื่อมั่น และขวนขวายถึงจะได้สิ่งที่ต้องการ  บางคนเปลี่ยนแฟนเป็น 100 ครั้งเพราะมันยังไม่ใช่(คนที่เปลี่ยนงานบ่อย) บางคนก็รีบตกปากรับคำแต่งงานกับคนที่เพิ่งเจอเพราะกลัวจะไม่มีโอกาสได้แต่ง(คนที่กลัวจะไม่ได้งาน)  หากงานที่ทำไม่สบายใจ ไม่สบายกาย ทุกข์ทรมาน ก็เปรียบเสมือนได้แฟนที่เป็นคู่เวรกรรมอยู่แล้วไม่สบาย ชวนเครียด ทะเลาะกันทุกวัน ขอให้ยอมรับการเปลี่ยนแปลง กล้าที่จะก้าวขาออกมา"


ไส้อ่อนหมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น