สถิติการเข้าดูหน้า Blog

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ระวังจะเสียดาย....ที่ลาออก

          เมื่อวันเวลาในชีวิตผมเริ่มผ่านไปสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกเสียดายแทนหลายๆ คน นั้นคือการรีบ ด่วนตัดสินใจลาออก ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็เคยคิดอยากลาออก และก็ลาออกมาแล้วหลายครั้งในชีวิตการทำงานของผม รวมทั้งในหลายๆ ครั้งที่ทำงานผมก็คิดอยากลาออก  สาเหตุนั้นก็เพราะผมรู้สึกไม่มีความสุขกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ผมรู้สึกว่าเขาขี้นินทาและเอาเปรียบผมสารพัด บางครั้งในการทำงานที่เก่าๆ ของผมก็รู้สึกว่าหัวหน้าผมไม่มีความเป็นผู้นำ  คนนี้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนได้ยังไกัน  หรือบางครั้งเมื่อผมมองเห็นเพื่อนหรือคนที่รู้จักมีเงินเดือนหรือตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีกว่าผมมากๆ ผมก็กลับรู้สึกอยากลาออกไปหาที่ที่มันแบบดีกว่านี้ ประมาณว่า "อยากลาออกโว๊ยยยยยย" 



        แต่สิ่งที่ผมพบว่าเมื่อผมลาออกมาแล้ว  และคาดหวังว่าที่ใหม่มันต้องเจอสิ่งที่ดีกว่า  เหมือนประมาณว่าขอไปตายเอาดาบหน้าแล้วผมก็ได้เกือบตายเอาจริงๆ  เพราะที่ใหม่ที่ผมคาดหวังไว้สูงส่ง กลับไม่ได้ดีกว่าที่ผมคิดเลย  เหมือนการลาออกเพื่อหนีปัญหาหนึ่งไปพบเจอกับอีกปัญหาหนึ่ง  สุดท้ายผมก็ต้องลาออกเพื่อหางานใหม่ไปเรื่อยๆ  จนเหมือนผมหนีมันไปได้ไม่มีที่สิ้นสุดซักที

         วันนี้ผมเจอน้องคนหนึ่งในแผนกที่มีความต้องการอย่างแรงกล้ามากๆ ที่ต้องการลาออก เพราะเหตุผลที่ว่ารู้สึกไม่สบายใจและกดดันกับหัวหน้างานที่ไม่เข้าใจกัน ถามว่าผมเคยเจออะไรแบบนี้ไหม แน่นอนครับสิ่งที่ผมเจอมาหนักกว่านี้และด้วยวัยเกือบจะ 30 ปีแล้ว มันให้ผมมองกลับกันในมองมุมที่แตกต่างในการลาออกครั้งนี้ เหมือนปัญหาที่เราคิดไม่ตกว่าหนทางเดียวในการแก้ไขปัญหาคือการลาออก  แต่ก็เช่นเดียวกันกลับทุกปัญหาครับ เมื่อเราผ่านมันมาได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เรากลับพบว่าสิ่งที่เราผ่านมันมาได้หากมันเกิดขึ้นอีกครั้งบทเรียนที่ผ่านนี้  จะทำให้เราผ่านมันไปได้ในครั้งต่อไป และยิ้มได้เมื่อเราผ่านมันมาอีกครั้ง

          
หากคุณคิดจะลาออกผมมองว่ามันก็ไม่ผิด  แต่คุณต้องถามตัวเองก่อนครับว่าคุณพร้อมจริงๆ หรือเปล่ากับการตัดสินใจลาออกนั้น?  

          1. หากคุณลาออกทั้งๆ ที่คุณยังไม่มีงานใหม่รองรับ นั้นคือปัญหาแรก คนโดยมากตัดสินใจที่จะหนีปัญหาที่เกิดขึ้นในที่ทำงานด้วยการลาออกเลยครับ วิธีนี้เหมือนยาขนานดียิ่งกว่ายาชุด เพราะเมื่อคุณลาออกปุ๊บ ปัญหาจะหายไปปั๊บ แต่ปัญหาถัดมาคือ เราจะเอาอะไรกิน คุณมีเงินเดือนพอใช้จนถึงหางานใหม่ได้แล้วหรอครับ ผมพบว่าคนโดยมากที่ตัดสินใจลาออกอย่างปัจจุบันทันด่วนทันทีทันใด  มักเจอปัญหาที่ว่ายังไม่มีงานใหม่รองรับ ต้องเริ่มต้นหางานใหม่โดยที่ตนเองเป็นบุคคลว่างงาน มันทำให้เงินเก็บที่มีร่อยหรอจนเงินที่เก็บมาหลายปีแทบจะหมดไป หรือบางคนอาจโชคร้ายกว่านั้นที่ไม่มีเงินเก็บเลย มันตามมาซึ่งการเป็นหนี้เป็นสิน เพราะคนเราต้องกินต้องใช้ทุกเดือน ปัญหาที่ทำงานของคุณจะหมดไปแต่ปัญหาปากท้องของคุณจะตามมาทันที

        2. ลาออกทั้งที่มีภาระเต็มบ่าทั้ง 2 ข้าง ในชีวิตมนุษย์เงินเดือน บ้าน รถ มันต้องต้องผ่อนครับ ใครมันจะมีเงินมาซื้อของเหล่านี้ด้วยเงินสด การตัดสินใจลาออกไม่ว่าคุณจะได้งานแล้วหรือคุณลาออกเพื่อไปหางานใหม่คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ที่ใหม่ที่เราไปเราจะอยู่รอดและทำงานได้  มันอาจเป็นการหนีเสือปะจระเข้ก็เป็นได้  หากไปทำงานที่ใหม่แล้วไม่ไหวจะเอาเงินที่ไหนผ่อนละครับ สุดท้ายเราอาจก็กดบัตรกดเงินสดมาจ่ายแล้วกลายเป็นหนี้หัวโตที่อีกนานก็ใช้ไม่หมดก็ได้  หรือหากคุณเป็นหัวหน้าครอบครัวการลาออกย่อมต้องคิดให้ดีอีกขั้น เพราะลูก เมีย พ่อ แม่ พี่ น้อง ที่เขามีคุณเป็นเสาหลักและต้องเพิ่งพาคุณจะทำอย่างไรหากคุณไปไม่รอด ลองถามตัวเองดูก่อนนะครับ ว่าคุณมีบ้าน มีรถ ต้องผ่อนหรือเปล่า ลูกคนกำลังเรียนอยู่หรือเปล่า หรือคุณต้องส่งน้องของคุณเรียน แน่นอนครับ คุณคงไม่อยากให้ชีวิตใครต้องล้มไปพร้อมกับคุณจริงไหมครับ

        3. ลาออกทั้งๆ ที่คุณกำลังศึกษาต่ออยู่ อันนี้แค่คิดก็เริ่มมีอาการปวดหัวขึ้นมาทันที เพราะหลายคนต้องการความก้าวหน้าในชีวิตการทำงาน มีหน้าที่การงานที่ดีหรืออยากมีความรู้  แน่นอนครับเรียนต่อสิครับ  เพราะการศึกษาช่วยยกระดับความรู้และคุณภาพชีวิต  แต่หากคุณต้องไปเรียน เช่นเรียน วันเสาร์-อาทิตย์ และที่ทำงานคุณก็หยุดเสาร์อาทิตย์ มันชั่งดีจริงๆ และเวลาการทำงานที่ลงตัวกับเวลาเรียนที่ลงตัวแล้ว  คุณกลับตัดสินใจที่จะลาออก ที่ทำงานใหม่ของคุณเวลามันตรงกันไหม  การเรียนระดับที่สูงขึ้นเป็นสิ่งที่เราต้องทุ่มเทมาก  ไม่ว่าจะระดับไหน  เพราะสิ่งที่เรากำลังเรียนอยู่นั้นมันใช้ความรู้มากกว่าระดับสิ่งที่เรารู้  แน่นอนครับมันยากและมันก็ต้องเครียด  ซึ่งหากมันเรียนง่ายๆ  ทุกคนในโลกนี้คงจบสูงกันหมดแล้วจริงไหมครับ เพราะการศึกษาบางครั้งมันก็ทำให้เกิดการเหลื่อมล้ํากันทางสังคม  เหมือนคนรวยกับคนรายได้น้อย ตามระดับความสมดุล  ฉะนั้นหากคุณอยู่ในระหว่างศึกษาต่อ คุณพร้อมจริงๆ ไหมกับการลาออก 

          วันนี้ผมได้แต่บอกน้องในแผนกว่าให้ใจเย็นและคิดให้ดีก่อนที่จะลาออก  มันก็เหมือนกลับการที่ผมเคยเป็นเด็กมาก่อนที่ผมไม่เคยคิดจะฟังใครแล้วก็คิดว่า  "การที่ใครในที่ทำงานที่ผมกำลังจะลาออกมาบอกให้ผมอยู่ก่อนคงเป็นเหตุผลที่แค่อยากจะรั้งผมไว้ก็เท่านั้นเอง  เขาไม่มีวันจะเข้าใจว่าในที่ทำงานนี้ผมเจออะไรมาบ้างหรอก  ว่าผมต้องอึดอัดใจขนาดไหน  ไม่เหลืออดผมคงไม่ออกหรอก หากช่วยอะไรผมไม่ได้ก็อย่ามารั้งผมเลย กลัวไม่มีคนทำงานให้อะดิ"  นั้นคือความคิดในใจของผม  เมื่อครั้งหนึ่งที่ผมยังเป็นแค่เด็กจบใหม่และคิดว่าผมรู้จักโลกใบนี้ดีอย่างถ่องแท้ด้วยวัย 20 ต้นๆ  แต่บางครั้งคนที่เขาห้ามผมเหตุผลของเขาอาจไม่ใช้เพราะเขาอยากรั้งผมไว้ หรือเพราะเขากลัวไม่มีคนทำงานให้  แต่สิ่งที่เขาเตือนเพราะวัยที่สูงกว่าและผ่านโลกมากเยอะกว่าจึงห้าม  ก็คงเหมือนผมในวันนี้ที่ไม่สามารถบอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้เด็กคนหนึ่งเข้าใจในสิ่งที่ผมได้พบเจอมา  รวมทั้งข้อคิดบทเรียนชีวิตการทำงานที่ได้เหมือนที่เจอมากับตนเอง  จนกว่าจะได้ผ่านมันมาด้วยตัวเอง

          บางครั้งชีวิตคนเรามันก็ต้องอดทน  จะมีการทำงานที่ไหนที่ไม่เครียดและไม่กดดันบางไหม  เหมือนสมัยที่เราเป็นเด็กเที่ยวเล่นสนุกกันไปวันๆ  ความทุกข์ไม่มีความเครียดไม่มี ความทุกข์ที่เราคิดว่าเครียดว่าหนัก มันดูเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราต้องเจอในวัยผู้ใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะฝากข้อคิดไว้  หากคุณกำลังคิดที่จะลาออกแล้วได้อ่านบทความของผมฉบับนี้ สิ่งแรกที่ผมอยากให้คุณมีคือสติ  การลาออกเหมือนการเปลี่ยนชีวิตที่มันอาจดีขึ้นหรือแย่ลง  คนควรมีงานที่มั่นใจกว่าดีกว่าแล้วถึงตัดสินใจลาออก ไม่ใช่ลาออกเพื่อหนีปัญหาเรื่องงานไม่เช่นนั้นปัญหาเรื่องเงินจะตามมาให้คุณได้ทุกข์ใจอีก  เมื่อคุณมีสติแล้วสิ่งต่อไปผมที่อยากให้มีคือสตางค์ครับ  หากคุณคิดจะลาออกนั้นคุณเองก็ต้องมั่นใจว่าคุณนั้นมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเพียงพอ เพื่อไม่ให้ชีวิตคุณลำบาก  สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่าการตัดสินใจลาออกนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด  บริษัทเลือกคุณเข้าทำงานเพราะเขาคิดว่าคุณดีที่สุด แน่นอนงานมันก็ต้องคุ้มค่ากับค่าจ้าง ฉะนั้นคุณเองก็ต้องเลือกงานที่คุณคิดว่าดีที่สุด  แต่ดีที่สุดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ชีวิตเป็นของคุณ คุณต้องเลือกทางเดินของคุณเองครับ



แมนๆ เตะบอล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น