สถิติการเข้าดูหน้า Blog

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สินค้าป้ายเหลือง

     ในยุคสมัยปัจจุบันเราสามารถพบเจอสินค้าป้ายเหลืองที่เป็นอาหารในเวลาจวนเจียนช่วงเวลาประมาณ 19.00-22.00 น.ก่อนที่ห้างสรรพสินค้าจะปิด ซึ่งทุกวันนี้ตามร้านสะดวกซื้อก็มีการติดป้ายเหลืองในอาหารและสินค้าอุปโภคที่ใกล้หมดอายุแล้วเช่นกัน ถือว่าเป็นนาทีทองของการซื้อเลยทีเดียวครับ สินค้าป้ายเหลืองนั้นต้องยอมรับว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ เราลองมาแบ่งๆประเภทกันดูดีกว่าครับว่าสินค้าป้ายเหลืองเนี้ยมันมีประเภทไหนบ้าง อันนี้ของแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆนะครับ สามารถแบ่งได้ดังนี้ครับ




1.ประเภทอาหารปรุงสำเร็จ ป้ายเหลืองประเภทนี้จะเป็นอาหารที่ทำวันต่อวัน และจะเริ่มติดป้ายในช่วงเวลาประมาณ 19.00-22.00 น ตรับ ข้อดีของสินค้าประเภทนี้ดูง่ายครับ อาหารปรุงสำเร็จ ลดราคาลงมาเกือบครึ่ง คุณภาพพอทานได้อิ่มท้อง สำหรับคนที่ต้องการประหยัดระหว่างมื้อจริงๆ ข้อเสีย อาหารเย็นและดูจืดชืด และต้องระวังเรื่องการหารบูดเสียของอาหารด้วยนะครับ ก่อนซื้อต้องพิจารณาให้ดี

2.ประเภทอาหารแห้ง สินค้าประเภทนี้จะถูกติดป้ายเหลืองเมื่อใกล้วันหมดอายุประมาณ 1 เดือนสำหรับสินค้าประเภทนี้จะเป็นพวก บะหมี่สำเร็จรูป น้ำผลไม้ อาหารประป๋อง ในการเลือกซื้ออาหารพวกนี้ต้องระวังซักนิดครับ เพราะนอกจากที่เราต้องดูวันหมดอายุแล้ว สภาพของบรรจุภัณฑ์ก็สำคัญครับ ยอกตัวอย่างกรณีอาหารกระป๋อง หากบุบเล็กน้อยนั้นสามารถใช้ได้ แต่หากเราพิจารณาไม่ดี อาจต้องเจอกระป๋องที่บุบจนอากาศเข้าไปภายในได้ เมื่อเราเปิดกระป๋องก็จะพบว่าอาหารเสียจากการที่อากาศเข้าไปภายใน รวมถึงกลุ่มขนมกรุบกรอบด้วยที่อาจมีกากาศเข้าไปภายในเช่นกัน และที่สำคัญนะครับสินค้าประเภทนี้ควรซื้อแต่พอที่เราจะนำไปกินหมด เพราะใกล้ถึงวันที่หมดอายุแล้ว ห้ามโลภนะครับ กินไม่หมดแล้วต้องทิ้งจะได้เสียมากกว่าได้ครับ


3.ประเภทของใช้ส่วนตัว สินค้าประเภทนี้ ดูง่ายขึ้นมากว่า 2 ประเภทแรกครับ จะเป็นพวกของใช้ เช่น ครีมทาผิว สบู่ หรือสินค้าที่ต้องการล้างสต็อคก็จะติดป้ายเหลืองเช่นกันครับ สินค้าประเภทนี้จะติดป้ายเหลือง โดยที่วันหมดอายุจะยาวนานกว่า การเลือกดูก็เน้นบรรจุภัณฑ์ของสินค้าเป็นหลัก แต่ต้องดูยี่ห้อของสินค้าด้วย บางครั้งเราพบว่าสินค้าประเภทนี้ถูกจริงๆ แต่คุณภาพค่อนข้างแย่ครับ เพราะดีจริงมันจะค้างสต็อคหรอครับ ขอยี่ห้อที่เราคุ้นเคยจะดีกว่าครับ


4.ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้ากลุ่มนี้ โดยมากจะเป็นสินค้าตัวโชว์ที่ตกรุ่นครับ อันนี้หากเป็นพวกเครื่องซักผ้า เตาอบไมโครเวฟ ตู้เย็น ประเภทนี้จะลดราคาลงมาเยอะครับ หากเราสามารถขอให้พนักสามารถทดลองสินค้าให้ดูได้ก็น่าสนใจครับเพราะสินค้าตัวโชว์แบบนี้ไม่ได้ถูกเสียบปลั๊กเวลาโชว์ครับ เป็นเพียงแค่การวางโชว์จึงจะผ่านการใช้งานแค่การเปิด-ปิด ดูภายนอกตัวสินค้าจากลูกค้าเท่านั้น แต่สินค้าประเภท โทรศัพท์มือ กล้องดิจิตอล แท็บเล็ต หากเป็นตัวโชว์นี้ต้องระมัดระวังในการซื้อเป็นอย่างมากครับ เพราะผ่านมือลูกค้ามาพอสมควร แบตเตอร์รีอาจเสื่อม หรือปุ่ม Home อาจมีปัญหา รวมทั้งไม่มีประกันเท่าสินค้าใหม่ซึ่งหากพบปัญหาอาจได้ไม่คุ้มเสีย แต่หากเป็นสินค้าล้างสต็อค แบบนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ แต่ก่อนซื้อเราควรถามพนักงานขายให้ชัดเจนก่อนนะครับ ว่าเป็นสินค้าค้างสต็อคหรือสินค้าตัวโชว์รวมทั้งประกันที่ยังเหลือให้ดีครับ (เก็บใบเสร็จให้ดีด้วยครับ)

        ผมว่าหลายๆคนคงคุ้นๆ ประโยคที่ว่า "เสียน้อยเสียมาก....เสียยากเสียง่าย" แน่นอนครับ และผมคิดว่าหลายๆคนคงมีประสบการณ์ตรงมาแล้ว ไม่มากก็น้อยครับ  ผมเองก็เช่นกันครับ โดยมากก็เรื่องการประหยัดไม่เข้าเรื่องโดยมาจากอารมณ์อยากประหยัดชั่ววูบนั้นเองครับ ที่ทำให้เราเสียเงินไปซะมากกว่าที่ประหยัดได้   ฉะนั้นก่อนซื้อสินค้าประเภทนี้ เราต้องคิดให้ดีว่าจำเป็นไหม อย่างที่คำโบราณบอกว่าไว้ว่า "สี่เทายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง" ซื้อมาแล้วอาจเจอของไม่ดีก็ได้ครับ เช่น ประเภทอาหารแห้ง เกิดซื้อมาแล้วพบว่ามันเสีย เราจะเปลี่ยนคืนได้ไหม อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเก็บใบเสร็จไว้นะครับ อันนี้ก็ตามประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อวานนี้เลยครับ ผมได้เข้าร้านสะดวกซื้อเจอไส้กรอก โบโลน่า ราคาตัวปกติ 39 บาท แต่หากสินค้าป้ายเหลืองราคา 29 บาท อีก 5 วันหมดอายุ ผมเองก็ว่าดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ว่าสินค้าโอเค ให้พนักงานเวฟมาให้อย่างดี กะว่ากลับมาถึงห้องจะทานให้เต็มที เจอคำแรกเข้าไปคิดว่าไข่ยางมะตูมทานไม่ได้เลย จะเอาไปเปลี่ยนก็ร้านสะดวกซื้ออยู่ห่างอพาร์ตเม้นไป 300 เมตร แถมอาศัยอยู่ชั่น 5 อีก ลิฟต์ก็ไม่มี คิดว่าดึกขนาดนี้เดินไปเปลี่ยนก็คงไม่คุ้ม ที่สำคัญที่พลาดคือใบเสร็จรับเงินดันทิ้งไปพร้อมถุงซะได้ สรุปแล้วเสียเงิน 29 บาท แถมไม่ได้กินอีกต่างหาก อย่างไรจะซื้อก็ต้องดูให้ดีๆนะครับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น