เกือบจะ 2 ปีแล้วที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง คือ ผมหมายถึงในตัวเมืองไม่ใช่ในกรุงเทพนะครับ อายุที่เริ่มมากขึ้นชีวิตที่เหมือนผมต้องเร่งรีบขึ้น ผมพบว่าผมเริ่มจะอ้วน ความจริงแล้วผมก็ไม่ค่อยจะมีกินแต่หรอกครับหน้าแปลกที่ผมอ้วน เรียกได้ว่าอดอยากปากมันเลยทีเดียว จะว่าไปแล้วชีวิตในเมืองของกินหาง่ายครับในประเทศนี้ แบบว่าของกินเต็มสองข้างทางเลยทีเดียว ไม่รู้ในประเทศอื่นเขาจะเป็นแบบนี้ไหมนะ แต่ก็ว่าน่าจะมีบ้างแหละครับแต่คงไม่แลดูมากมายขนาดนี้ อาหารที่กินทุกจานล้านแต่เหมือนอาหารจานด่วน เช้ามาทำงานผมก็เจอหมูทอด ไก่ทอด ราดข้าว ไม่ก็แกงกระทิเข้มข้น อาหารเช้ากลางวันเย็น ทุกมื้อรสชาติเค็ม เผ็ด และก็มัน ร่างกายที่เริ่มมีอายุขึ้นไม่สามารถเผาผลาญไขมัน ออกมาได้หมด ผมเคยเอว 28 ในสมัยเรียน ตอนนี้เอวมาเกือบ 34 ได้ไงก็ไม่ทราบ แล้วผมควรจะทำอย่างไรดี
ผมคิดว่าความจริงแล้วผมว่าทุกคนแหละ คงอยากรูปร่างดี หน้างี้เรียวเป็น v shape เหมือนน้อง ทับทิมวีอาร์โซ แต่แบบมันคงเป็นไปไม่ได้ แค่ไม่ให้อ้วนกว่าเดิมนี้ก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว แต่ๆ นี้ในเมืองนะครับ ผมเองก็เคยคิดว่าอยากจะไปวิ่งจ๊อกกิ้ง ตอนเย็นเหมือนในหนังฝรั่งที่เราๆ ท่านๆ เคยดูอยู่เหมือนกัน แต่ก็พบความจริงที่ว่าจำนวนหมาจรจัดในประเทศนี้เยอะเหลือเกิน ขืนแต่งตัวออกไปวิ่งมีหวังถูกหมาลากไส้อยู่แถวๆ นี้แหละ ความคิดนี้เลยถูกตัดออกไปจากสารระบบ แต่ผมก็มีความคิดหลายอย่างนะ เช่น ไป ฟิตเนส เก๋ๆ เลยดีไหม แต่ดูจากราคาและการเดินทางแล้ว ผมนอนอ้วนอยู่ที่ห้องจะดีกว่า คือค่าบริการคงไม่เหมาะกับวิศวกร ที่อาศัยอยู่ในห้องเช่ารูหนูพัดลมเพดานหรือมนุษยเงินเดือนอย่างผมแน่ๆ คิดไปคิดมาโลกนี้อะไรๆ ก็ล้วนแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น ขนาดออกกำลังกายยังต้องใช้เงินเลย
จะทำอย่างไรดีละทีนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งอ้วน ยิ่งอ้วนก็ยิ่งกิน มื้อเย็นชีวิตดูรีบเร่งน้อยหน่อยเพราะเลิกงานแล้ว เลยใช้ชีวิต slow life จนอ้วนเลยทีเดียว เพราะตอนเย็นมีเวลาในการเลือกกินเต็มที่ครับ ผมเริ่มจากตรงนี้ครับ ลดมื้อเย็น คือพยายามกินให้น้อยที่สุด หรือเลี่ยงๆ ได้ก็ไม่ทานมื้อนี้เลย จะหนักไปทางมื้อเช้าแทน กลางวันก็พอสมควร มื้ออื่นๆ อาหารประเภทแกง ประเภททอดก็ลดลงครับ เริ่มใส่ใจในรายละเอียดการกิน คือคิดก่อนที่จะเอาอะไรเข้าปาก ในเมื่อผมมีเวลาออกกำลังกายน้อยก็ควรกินมันเข้าไปให้หน่อยลงครับ แล้วผมก็เป็นคนติดกาแฟด้วย คือไม่ใช่ว่าไม่กินไม่ได้แต่ชอบกินตอนสายๆ ครับ ก็เลือกเป็น อเมริกาโน่ แทนน้ำตาลให้ขอคนชงเขาลดๆ หน่อยครับ อย่าฝืนจนชีวิตไม่มีความสุขครับ อันนี้ผมทำมาได้ซัก 2-3 สัปดาห์ได้แล้วครับกับเรื่องการกิน
และมาถึงช่วงที่อยากที่สุด นั้นก็คือการออกกำลังกาย ออกอย่างไรละให้ประหยัดที่สุด ผมขอแนะนำที่ออกกำลงกายประจำตำบลครับ แต่ในกรณีของผมมีอพาร์ตเม้นต์ที่มีเครื่องออกกำลังแบบที่ออกกำลังกายประจำตำบลเลยครับ ค่าบริการเพียง 5 บาท ถึงเครื่องเล่นที่ใช้ออกกำลังกายพวกนี้ดูเหมือนของเด็กเล่นไปหน่อยแต่ผมพบว่าได้ผลครับ ผมก็จะไปออกบ้างซักสัปดาห์ละครั้ง แต่หากมีสุนัขหรือหมานี้แหละครับ มานอนบนลู่วิ่งไฟฟ้าหยอดเหรียญแล้วละก็ คุณอย่าไปทำมันตกใจนะครับ ไม่งั้นมันจะกัดเอา ทำสุ่มทำเสียงเรียกให้มันรู้ตัวซักนิดครับ สำหรับลู่วิ่งหยดเหรียญที่ดูไฮโซขนาดนี้ 10 บาท สามารถวิ่งได้ 20 นาทีครับ หากวันไหนลู่วิ่งว่างผมก็จะไปวิ่งบ้าง คือแบบอย่างเรียกว่าวิ่งเลย วิ่งว่าเดินบนลู่วิ่งจะดีกว่า ส่วนการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันผมขอแนะนำให้คุณเคลื่อนไหวบ้าง เย็นๆ หากพักอาศัยอยู่ในชั้นสูงๆ ลองเดินขึ้นบันไดดูครับ อันนี้ผมเดินขึ้นชั้น 5 ทุกวันเดินจนไส้เลื่อนผมจะทะลักอยู่แล้วครับ หรือหากกลับมาห้องลองแกว่งแขนดูครับ การแกว่งแขนวิธีนี้ผมเห็นพี่ที่ทำงานทำครับแล้วได้ผลดีเลยทีเดียว แต่ให้แกว่งอย่างน้อยๆ ในหนึ่งวันให้ได้หลักพันครั้งนะครับ ว่างๆ ดูทีวีลองทำดูครับ สรุปค่าใช้จ่ายครั้งละ 10 บาท ไม่เกินนี้
ในที่ทำงานก่อนๆ หน้าของผมมักมีกิจกรรมสังสรรค์ เดือนละครั้ง 1-2 ครั้ง นั้นก็คือ กินเหล้านั้นเอง เฮ้ยๆ คือแบบแมนๆ เตะบอล กินเหล้าโว๊ยเฮ้ย แต่ก็....สิ้นเปลืองเงินพอสมควรอยู่ครับ ในบางที่ทำงานของผมเราก็กินกันบ่อยครับ เหตุผลคือเข้าสังคม น้อยที่มากๆ ที่เราจะไม่เจอการกินเหล้า แต่ที่นี้ผมไม่เจอครับ อาจเป็นเพราะสังคมที่เร่งรีบและทุกคนมีครอบครวกันแล้ว แต่เรามีไปกินหมูกะทะกันบ้างตอนวันเงินเดือนออก แต่ผมก็แอบมีเห็นมีชวนไปเตะบอลกันด้วยนะครับ แต่แบบผมเขินผมไม่ไปดีกว่า สองปีที่ผ่านมากับแผนกเดียวกันผมเลยไม่ค่อยสนิทกันเพราะต่างคนต่างรีบเร่ง และมีความเครียดในการทำงานทำงาน แต่ผมก็แอบเห็นมีชวนไปตีแบตกันครับ อันนี้ดูพอจะเข้าเค้าและแล้ววันหนึ่งผมก็ลองไปดู ผมพบว่ามันแปลกสำหรับผม อย่างแรกเลยคือผมตีไม่ได้เรื่องเลยครับ งงไปหมดเลยครับว่าตาใครเป็นตาใครเซิฟ ลูกแบด ตอนเรามานั่งพักก็มีโอกาสได้คุยเล่นกัน ในกลุ่มบางคนที่ผมไม่เคยคุยด้วยเลยเวลาอยู่ในบริษัทผมก็พบว่าเรามีโอกาสได้คุยกัน ผมมองเห็นหลายด้านที่ผมไม่เคยมองเห็นในเวลาทำงาน บางทีผมก็แปลกใจที่เขาตีกันได้เก่งกาจ ตัวผมเองก็อดคิดไม่ได้เลยนะครับ ว่ากิจกรรมนอกจากกินเหล้าเราก็มีกิจกรรมอื่นที่เราสามารถคุยกันได้ เมื่อสมัยที่ผมยังเรียนอยู่มีเพื่อนเคยบอกกับผมว่า คนเราจะนั่งคุยกันเป็นชั่งโมงๆ ได้อย่างไรหากไม่กินเหล้า เราต้องนั่งกินเหล้ากันโว๊ยเมาแล้วคุยกันเปิดใจแมนๆ การกินเหล้าทำให้เราได้รู้จักกันมาขึ้น เพราะเวลาเราเมาเราจะเเสดงนิสัยที่แท้จริงออกมา พอเราเมาเราก็คุยกันได้ทุกเรื่อง รุ่งเช้าก็เหมือนเราลืมๆ เรื่องที่เราคุยกันเมื่อคืน มันแบบเหมือนคุยอะไรกันก็ไม่รู้สุดท้ายเราก็ลืม บางทีค่าเหล้ามึงก็ไม่จ่ายกูนะ จะทวงก็ไม่แน่ใจเมื่อคืนกูก็เมา
บางครั้งการกินเหล้าทำให้เราเรียนรู้นิสัยคนที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเมื่อคนๆ นั้นเมา ผมว่ามันก็ไม่ไ่ด้แตกต่างจากการที่เราเล่นกีฬาด้วยกันเลย มันก็ทำให้เราสามารถเรียนรู้น้ำใจของเพื่อนร่วมของเราได้เช่นกัน มุมมองในชีวิตมองได้เหมือนกันแต่ผลที่ได้อย่างน้อยผมคิดว่ามันต่างกันครับ ผมไม่ได้บอกว่ากินเหล้าไม่ดี แต่เราก็ควรลองอย่างอื่นบ้าง เพื่อให้ได้มุมมองใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตเรา
สุดท้ายนี้น้ำหนักผมจาก 75 กิโลกรัม ตอนนี้เหลือประมาณ 72 กิโลกรัมได้ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างน้อยน้ำหนักผมก็ลดนะ สรุปๆ ไปตีแบตมาก็ช่วยพี่ๆ ที่ทำงานออกไปประมาณ 100 บาท จะว่าไปก็ไม่เปลืองนะครับ หน้าผมงี้เรียวแบบหน้า v shape เหมือนน้อง ทับทิมวีอาร์โซ เลยทีเดียว
ผมคิดว่าความจริงแล้วผมว่าทุกคนแหละ คงอยากรูปร่างดี หน้างี้เรียวเป็น v shape เหมือนน้อง ทับทิมวีอาร์โซ แต่แบบมันคงเป็นไปไม่ได้ แค่ไม่ให้อ้วนกว่าเดิมนี้ก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว แต่ๆ นี้ในเมืองนะครับ ผมเองก็เคยคิดว่าอยากจะไปวิ่งจ๊อกกิ้ง ตอนเย็นเหมือนในหนังฝรั่งที่เราๆ ท่านๆ เคยดูอยู่เหมือนกัน แต่ก็พบความจริงที่ว่าจำนวนหมาจรจัดในประเทศนี้เยอะเหลือเกิน ขืนแต่งตัวออกไปวิ่งมีหวังถูกหมาลากไส้อยู่แถวๆ นี้แหละ ความคิดนี้เลยถูกตัดออกไปจากสารระบบ แต่ผมก็มีความคิดหลายอย่างนะ เช่น ไป ฟิตเนส เก๋ๆ เลยดีไหม แต่ดูจากราคาและการเดินทางแล้ว ผมนอนอ้วนอยู่ที่ห้องจะดีกว่า คือค่าบริการคงไม่เหมาะกับวิศวกร ที่อาศัยอยู่ในห้องเช่ารูหนูพัดลมเพดานหรือมนุษยเงินเดือนอย่างผมแน่ๆ คิดไปคิดมาโลกนี้อะไรๆ ก็ล้วนแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น ขนาดออกกำลังกายยังต้องใช้เงินเลย
จะทำอย่างไรดีละทีนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งอ้วน ยิ่งอ้วนก็ยิ่งกิน มื้อเย็นชีวิตดูรีบเร่งน้อยหน่อยเพราะเลิกงานแล้ว เลยใช้ชีวิต slow life จนอ้วนเลยทีเดียว เพราะตอนเย็นมีเวลาในการเลือกกินเต็มที่ครับ ผมเริ่มจากตรงนี้ครับ ลดมื้อเย็น คือพยายามกินให้น้อยที่สุด หรือเลี่ยงๆ ได้ก็ไม่ทานมื้อนี้เลย จะหนักไปทางมื้อเช้าแทน กลางวันก็พอสมควร มื้ออื่นๆ อาหารประเภทแกง ประเภททอดก็ลดลงครับ เริ่มใส่ใจในรายละเอียดการกิน คือคิดก่อนที่จะเอาอะไรเข้าปาก ในเมื่อผมมีเวลาออกกำลังกายน้อยก็ควรกินมันเข้าไปให้หน่อยลงครับ แล้วผมก็เป็นคนติดกาแฟด้วย คือไม่ใช่ว่าไม่กินไม่ได้แต่ชอบกินตอนสายๆ ครับ ก็เลือกเป็น อเมริกาโน่ แทนน้ำตาลให้ขอคนชงเขาลดๆ หน่อยครับ อย่าฝืนจนชีวิตไม่มีความสุขครับ อันนี้ผมทำมาได้ซัก 2-3 สัปดาห์ได้แล้วครับกับเรื่องการกิน
และมาถึงช่วงที่อยากที่สุด นั้นก็คือการออกกำลังกาย ออกอย่างไรละให้ประหยัดที่สุด ผมขอแนะนำที่ออกกำลงกายประจำตำบลครับ แต่ในกรณีของผมมีอพาร์ตเม้นต์ที่มีเครื่องออกกำลังแบบที่ออกกำลังกายประจำตำบลเลยครับ ค่าบริการเพียง 5 บาท ถึงเครื่องเล่นที่ใช้ออกกำลังกายพวกนี้ดูเหมือนของเด็กเล่นไปหน่อยแต่ผมพบว่าได้ผลครับ ผมก็จะไปออกบ้างซักสัปดาห์ละครั้ง แต่หากมีสุนัขหรือหมานี้แหละครับ มานอนบนลู่วิ่งไฟฟ้าหยอดเหรียญแล้วละก็ คุณอย่าไปทำมันตกใจนะครับ ไม่งั้นมันจะกัดเอา ทำสุ่มทำเสียงเรียกให้มันรู้ตัวซักนิดครับ สำหรับลู่วิ่งหยดเหรียญที่ดูไฮโซขนาดนี้ 10 บาท สามารถวิ่งได้ 20 นาทีครับ หากวันไหนลู่วิ่งว่างผมก็จะไปวิ่งบ้าง คือแบบอย่างเรียกว่าวิ่งเลย วิ่งว่าเดินบนลู่วิ่งจะดีกว่า ส่วนการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันผมขอแนะนำให้คุณเคลื่อนไหวบ้าง เย็นๆ หากพักอาศัยอยู่ในชั้นสูงๆ ลองเดินขึ้นบันไดดูครับ อันนี้ผมเดินขึ้นชั้น 5 ทุกวันเดินจนไส้เลื่อนผมจะทะลักอยู่แล้วครับ หรือหากกลับมาห้องลองแกว่งแขนดูครับ การแกว่งแขนวิธีนี้ผมเห็นพี่ที่ทำงานทำครับแล้วได้ผลดีเลยทีเดียว แต่ให้แกว่งอย่างน้อยๆ ในหนึ่งวันให้ได้หลักพันครั้งนะครับ ว่างๆ ดูทีวีลองทำดูครับ สรุปค่าใช้จ่ายครั้งละ 10 บาท ไม่เกินนี้
ในที่ทำงานก่อนๆ หน้าของผมมักมีกิจกรรมสังสรรค์ เดือนละครั้ง 1-2 ครั้ง นั้นก็คือ กินเหล้านั้นเอง เฮ้ยๆ คือแบบแมนๆ เตะบอล กินเหล้าโว๊ยเฮ้ย แต่ก็....สิ้นเปลืองเงินพอสมควรอยู่ครับ ในบางที่ทำงานของผมเราก็กินกันบ่อยครับ เหตุผลคือเข้าสังคม น้อยที่มากๆ ที่เราจะไม่เจอการกินเหล้า แต่ที่นี้ผมไม่เจอครับ อาจเป็นเพราะสังคมที่เร่งรีบและทุกคนมีครอบครวกันแล้ว แต่เรามีไปกินหมูกะทะกันบ้างตอนวันเงินเดือนออก แต่ผมก็แอบมีเห็นมีชวนไปเตะบอลกันด้วยนะครับ แต่แบบผมเขินผมไม่ไปดีกว่า สองปีที่ผ่านมากับแผนกเดียวกันผมเลยไม่ค่อยสนิทกันเพราะต่างคนต่างรีบเร่ง และมีความเครียดในการทำงานทำงาน แต่ผมก็แอบเห็นมีชวนไปตีแบตกันครับ อันนี้ดูพอจะเข้าเค้าและแล้ววันหนึ่งผมก็ลองไปดู ผมพบว่ามันแปลกสำหรับผม อย่างแรกเลยคือผมตีไม่ได้เรื่องเลยครับ งงไปหมดเลยครับว่าตาใครเป็นตาใครเซิฟ ลูกแบด ตอนเรามานั่งพักก็มีโอกาสได้คุยเล่นกัน ในกลุ่มบางคนที่ผมไม่เคยคุยด้วยเลยเวลาอยู่ในบริษัทผมก็พบว่าเรามีโอกาสได้คุยกัน ผมมองเห็นหลายด้านที่ผมไม่เคยมองเห็นในเวลาทำงาน บางทีผมก็แปลกใจที่เขาตีกันได้เก่งกาจ ตัวผมเองก็อดคิดไม่ได้เลยนะครับ ว่ากิจกรรมนอกจากกินเหล้าเราก็มีกิจกรรมอื่นที่เราสามารถคุยกันได้ เมื่อสมัยที่ผมยังเรียนอยู่มีเพื่อนเคยบอกกับผมว่า คนเราจะนั่งคุยกันเป็นชั่งโมงๆ ได้อย่างไรหากไม่กินเหล้า เราต้องนั่งกินเหล้ากันโว๊ยเมาแล้วคุยกันเปิดใจแมนๆ การกินเหล้าทำให้เราได้รู้จักกันมาขึ้น เพราะเวลาเราเมาเราจะเเสดงนิสัยที่แท้จริงออกมา พอเราเมาเราก็คุยกันได้ทุกเรื่อง รุ่งเช้าก็เหมือนเราลืมๆ เรื่องที่เราคุยกันเมื่อคืน มันแบบเหมือนคุยอะไรกันก็ไม่รู้สุดท้ายเราก็ลืม บางทีค่าเหล้ามึงก็ไม่จ่ายกูนะ จะทวงก็ไม่แน่ใจเมื่อคืนกูก็เมา
บางครั้งการกินเหล้าทำให้เราเรียนรู้นิสัยคนที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเมื่อคนๆ นั้นเมา ผมว่ามันก็ไม่ไ่ด้แตกต่างจากการที่เราเล่นกีฬาด้วยกันเลย มันก็ทำให้เราสามารถเรียนรู้น้ำใจของเพื่อนร่วมของเราได้เช่นกัน มุมมองในชีวิตมองได้เหมือนกันแต่ผลที่ได้อย่างน้อยผมคิดว่ามันต่างกันครับ ผมไม่ได้บอกว่ากินเหล้าไม่ดี แต่เราก็ควรลองอย่างอื่นบ้าง เพื่อให้ได้มุมมองใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตเรา
สุดท้ายนี้น้ำหนักผมจาก 75 กิโลกรัม ตอนนี้เหลือประมาณ 72 กิโลกรัมได้ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างน้อยน้ำหนักผมก็ลดนะ สรุปๆ ไปตีแบตมาก็ช่วยพี่ๆ ที่ทำงานออกไปประมาณ 100 บาท จะว่าไปก็ไม่เปลืองนะครับ หน้าผมงี้เรียวแบบหน้า v shape เหมือนน้อง ทับทิมวีอาร์โซ เลยทีเดียว
แมนๆ เตะบอล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น