สถิติการเข้าดูหน้า Blog

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

ของฝาก จำเป็นต้องซื้อไหมนะ ?

           วันนี้ตรงกลับวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559 อ้าว.....ก็เลยปีใหม่มาแล้วสิครับวันนี้  ใช่ครับเลยเทศกาลมาแล้ว วันแรกแห่งการทำงานเลยครับหลังจากหยุดมาแล้วหลายวัน หลายคนไปเที่ยวกับครอบครัว บางคนก็เดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด  เป็นปกติธรรมดาครับของมนุษย์เงินเดือน และเมื่อวันแรกที่เรากลับมาจากเที่ยวหรือกลับบ้าน  สิ่งที่ผมฉุกคิดขึ้นมาได้นั้นก็คือ ของฝากนั้นเอง ไปไหนมาไหนข้างทางมีแต่ร้านขายของฝากครับ แล้วจำเป็นไหมละ ที่เราต้องซื้อของมาฝากคนอื่น เช่น เพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน ลูกน้อง เมื่อลองดูเงินในกระเป๋า นี้มันก็ค่าใช้จ่ายชัดๆ มันจำเป็นด้วยหรอครับ ที่เราต้องซื้อของมาฝากคนอื่น แล้วหากเราซื้อมาฝากคนอื่น  คนอื่นเนี้ยเขาจะคิดซื้ออะไรมาฝากเราไหมนะ


           ผมเคยคิดครับว่ามันสิ้นเปลืองมากๆ กับของพวกนี้ ทำไมเราต้องซื้อของไปฝากคนอื่นด้วย ไม่เห็นมีใครซื้ออะไรมาฝากเราเลย แล้วทำไมเราต้องซื้อของมาฝากคนอื่นด้วย จริงไหมละครับ แต่เมื่อเวลาผ่านไปอายุงานที่มากขึ้นและผมก็เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผมพบว่ามันก็ไม่จำเป็นอยู่ดีครับ แต่นั้นคือสิ่งที่เรียกว่าน้ำใจมากกว่าครับ  การเป็นผู้ให้สุขใจกว่าการเป็นผู้รับ ประโยคนี้ผมไม่เคยเชื่อครับ จนวันที่ผมลองได้ให้คนอื่นดูบ้าง ในช่วงปีที่ผ่านมาของการทำงานของผม จากที่แทบจะไม่สนิทกับใครเลยในแผนก อาจเพราะสังคมในเมืองที่ต่างคนต่างมีครอบครัว เลิกงานก็กลับบ้าน ทำให้ผมไม่ได้สนิทกับใครมากนัก และอาจด้วยเหตุผลทางด้านอายุด้วย ที่ไม่เหมือนสมัยเรียนที่เราเรียนและเพื่อนๆ ก็จะอายุใกล้เคียงกับเราทำให้แนวคิดต่างๆ คล้ายกันจึงเข้ากันได้ดีกว่าเพื่อนที่ทำงานก็เป็นได้ครับ

          ผมไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร กับการเริ่มซื้อของเล็กๆ น้อยๆ มาฝากกันในที่ทำงานของผม ในตอนเช้าๆ กับเพื่อนๆ ที่ทานข้าวด้วยกัน เวลาใครไปไหนมาไหน ก็จะมีขนมติดไม้ติดมือมาทานกันหลังอาหารเช้า บางทีก็มีกับข้าว หลายๆ ครั้งเข้ากับก็ทานของคนอื่นตลอดครับ ฮ่าๆ สิ่งที่รู้สึกคือ ความเกรงใจและคิดว่า หากเราไปเจออะไรอร่อยๆ ต้องซื้อมาให้เพื่อนกลุ่มนี้ได้ลองทานดูบ้าง 

          หรือพี่ๆ ที่แผนก QC ที่ถูกหวยกันบ่อย ถูกที่ไรก็เลี้ยงส้มตำผมทุกทีเลย คือ..... ผมก็ไม่เคยถูกซักที แต่หากเจออะไรอร่อยๆ ขอซื้อมาฝากบ้างแล้วกันครับ 

          เพื่อนๆ พี่ๆ HR เจอทีไรเรียกกินขนมตลอด ไม่กินก็กลัวว่าหยิ่งกินซะหน่อยละกันครับ 

          และที่สุดท้ายแผนกผมเอง เช้ามาในบางวันอาจมีกล้วย 1-2 ลูก หรือไม่ก็ขนมเล็กๆ น้อยๆ ที่อร่อยมาวางโต๊ะผม ผมเองก็อดไม่ได้ครับ ที่จะไปเจออะไรที่อร่อยๆ ก็จะมาวางให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นที่โต๊ะบ้างเช่นกัน อาจเป็น แซนวิส หน้าโรงงานอันละ 15 บาท หรือขนม 15-20 บาท จากร้านกาแฟ 

         ทั้งหมดนี้ น่าจะเพียงพอครับ สำหรับหรับเทศกาลซักปีละครั้งที่เราจะซื้อของฝากใครต่อใคร รอบนี้ผมซื้อขนมหมดไปเกือบ 800 บาท นั้นมากกว่าค่ารถไปกลับบ้านที่ต่างจังหวัดซะอีก ผมคิดว่าคงไม่ได้ซื้อมาในทุกเทศกาล 4 แผนกที่ผมสนิทด้วยก็ตกแผนกละ 200 บาทได้ เเต่เมื่อมองย้อนกลับไปผมกินขนมของพวกพี่ๆ เพื่อนๆ มากกว่าเงิน 200 บาทอีกครับ ผมเลือกซื้อขนมที่ไม่ได้เยอะปริมาณแต่เอาคุณภาพเน้นๆ ว่าอร่อยแน่ๆ มาฝากครับ เพราะการที่เราซื้อฝากใครเราควรซื้อของที่ดีเหมือนที่เรากินให้คนอื่นด้วย ไม่อยากให้คิดว่าแค่ของฝากเหมือนซื้อส่งๆ นี้ไม่ใช่การลงทุนครับ ว่าเราซื้อของฝากแพงและต้องได้ของฝากแพงอย่างที่เราซื้อ หากคิดแบบนั้นเราเองต่างหากจะรู้สึกไม่ได้

         เช้านี้ก่อนผมเอาขนมไปแจกใครที่โต๊ะทำงานผม  มีขนมหนึ่งห่อกับน้ำผลไม้มาวางที่โต๊ะผมครับ ถามว่ามูลค่านั้นเท่ากับที่ผมซื้อมาฝากคนอื่นไหม ตอบได้เลยครับ ว่าไม่เท่าแน่นอน แต่คุณค่าอยู่ที่จิตใจ ว่าคนอื่นเขาก็มีน้ำใจคิดถึงเราเหมือนกัน ถึงแม้รอบนี้ผมไม่ได้ซื้อของฝากใครเลย  แต่เอาจริงๆ ในโลกใบนี้ มีไหมครับคนที่ไม่เคยซื้อะไรมาฝากใครเลย แต่มากินกับเราด้วยอย่างเดียว จากการทำงานมาแล้วหลายที่ ตอบเลยคำว่ามีครับ บนโลกใบนี้มีคนแบบนี้จริงๆ มีทุกที่แหละครับ เชื่อเถอะครับเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ แต่หากเราคิดว่าเจอคนแบบนี้ ไม่อยากซื้ออะไรมาฝากใครเลย ก็แล้วแต่มุมมองมองครับ การซื้อของมาฝากใครไม่ใช่การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่าเหมือน การลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวมครับ ผลที่วัดได้เทียบเป็นตัวเงินไม่ได้ แต่คนเราไม่สามารถมีเงินมากมายแล้วอยู่คนเดียวในโลกได้ครับ คิดว่าเราเปลี่ยนเงินของเราเป็นน้ำใจแล้วคนอื่นก็จะตอบแทนเป็นน้ำใจกลับมาดีกว่าครับ นอกจะออมเก่งแล้ว เราต้องรู้จักใช้เงินด้วย เพราะเราไม่ได้มีแค่ตัวเราคนเดียวครับ เราต้องมีเพื่อน มีครอบครัว ซึ่งเราต้องแบ่งปันน้ำใจให้คนอื่นด้วย  วันนี้เห็นหลายๆ คนบอกว่าขนมผมที่ซื้อมาอร่อย ผมก็ดีใจแล้วครับ

แมนๆ เตะบอล 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น